ลิปแบรนด์ ยอดฮิต

ลิปแบรนด์ เพื่อเพิ่มสีสัน มอบความเย้ายวนและความงามให้กับใบหน้าของคุณ ลิปสติกเป็นอีกหนึ่งไอเท็มแต่งหน้าที่สาวๆ ขาดไม่ได้ และต้องมีติดกระเป๋า เก็บปากกาหลายอันไว้กับคุณ ความนิยมของลิปสติกจะไม่มีวันจางหายไป ผู้หญิงชอบเพิ่มความสวยงามให้กับริมฝีปากด้วยลิปสติกสีที่เปลี่ยนไปตามเทรนด์และฤดูกาลเพื่อตอบโจทย์ความชอบ และตอบโจทย์ความต้องการของสาวๆ ได้แล้ววันนี้  ชวนคุณมาเติมเต็มความรู้สึก! เติมพลังให้ริมฝีปากด้วย  ลิปสติกจากแบรนด์ดัง

ลิปแบรนด์ มาแรง ในปี2024 ที่สีไหนขาดไม่ได้

ลิปแบรนด์ นั้นเป็นไอเทมที่สามารถช่วยให้คุณดูแตกต่างได้ หากเราต้องการลุคที่เป็นทางการ สาวๆ หลายๆ คนคงไม่พลาดกับลิปสติกสีแดงสด หรือวันไหนไม่อยากแต่งหน้าแต่ไม่อยากให้หน้าซีด ฉันมักจะทาลิปสติกสีส้มพีชเพื่อทำให้ใบหน้าของฉันดูสดชื่นขึ้น Vogue Beauty เชื่อว่าทุกคนมีลิปสติกมากกว่าหนึ่งอันอย่างแน่นอน แต่ 10 เฉดสีที่เราแนะนำนี้อยู่ในคอลเลกชั่นของคุณ อยู่ด้วยกันแล้วใช่ไหม?

Classic Red

เรียกได้ว่าเป็นสีแดงคลาสสิกที่สาวๆ ทุกคนต้องมี เพราะไม่ส้มหรือชมพูจนเกินไป สามารถใช้ร่วมกับการแต่งหน้าได้หลากหลายลุค มันไม่ได้เป็นเพียงเกี่ยวกับวิธีที่คุณมองงานหรือวันที่เท่านั้น สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ แนะนำ ผสมผสานกับผิวกระจ่างใส ทาบรอนเซอร์และไฮไลท์เตอร์เพื่อช่วยให้ใบหน้าของคุณดูสว่างและแข่งขันกับสีลิปสติก

Fuchsia

สีชมพูอมม่วงเป็นอีกหนึ่งสีที่หลายคนอาจจะยังไม่มีอยู่ในกรุเครื่องสำอาง สีนี้เป็นสีที่จะช่วยขับผิวให้ดูไบร์ทและสดใสขึ้น ใครที่ยังไม่กล้าทาเต็มปาก ลองมองหาลิปทินต์หรือลิปสเตนที่จะเน้นทาเฉพาะด้านในของริมฝีปากแล้วเกลี่ยของมาด้านนอกเล้กน้อย ปิดท้ายด้วยการทาลิปกลอสใส เท่านั้นลุคเมกอัพก็ดูมีกิมมิคมากขึ้นแล้ว

Berry Red

สีนี้จะมีความคล้ายกับสีแดงเบอร์กันดี แต่จะเป็นโทนสีแดงอมม่วงเบอร์รี่ที่ออกแนวไปทางโทนเย็นมากกว่า สามารถทาเดี่ยวๆ แบบเต็มริมฝีปากให้ลุคดูเป็นสาวมั่นใจ หรือจะแตะเป็นลิปสเตนก็ได้ สำหรับลุคเมกอัพที่อยากแนะนำคือลุคซอฟต์สโมกี้อาย โดยเน้นการใช้สีน้ำตาลเข้มคัดบริเวณปลายตาบนและเล็กน้อย เมื่อแต่งคู่กับลิปสติกสีนี้จะได้ไม่ดูดุจนเกินไป

Orange

เพิ่มความสดใสให้กับลุคด้วยลิปสติกสีส้มสุดเปรี้ยว เหมาะสำหรับลุคธรรมดาที่ไม่อยากให้ดูธรรมดาอีกต่อไป เพราะสีนี้จะช่วยขับสีผิวให้ดูเปล่งปลั่งขึ้น โดยเฉพาะสีผิวขาวเหลืองของสาวเอเชีย ยิ่งจับคู่กับการแต่งหน้าลุคโทนส้มทั้งตา แก้ม ปาก หรือแนว Monotone นอกจากจะแต่งง่ายและรวดเร็วแล้ว ไม่ว่าใครแต่งก็สวยสดชื่น ดูมีชีวิตชีวา

ประวัติของลิปสติก

ลิปแบรนด์ จากหลักฐานการค้นพบกล่องเครื่องสำอาง  ซึ่งข้างในนั้นเป็นลิปสติกโฮมเมด ที่เกิดจากการนำอัญมณีมาบดจนเป็นผงละเอียด แทบไม่น่าเชื่อว่า เมื่อ 5000 ปีที่แล้ว ผู้หญิงในที่ราบลุ่มเมโสโปเตเมียรู้จักการทาปาก  หลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์ พบว่า บนกระดาษปาปิรุสมีรูปผู้หญิงส่องกระจก และกำลังแต่งแต้มริมฝีปาก ในสมัยก่อนผู้หญิงมองโกเลียเอาขี้ผึ้งและไขมันสัตว์มาทาปากเพื่อป้องกันการแตกแห้ง ในสมัยโบราณผู้หญิงนำผลเบอร์รีสีแดง มาแต่งแต้มเรียวปากของพวกเธอให้สวยงามในยุคกลาง 1500’s การทาปากสีแดงเป็นเรื่องของสังคมชั้นสูง ผู้หญิงธรรมดาสามัญที่ทาปากสีแดงจะถูกมองว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีหรือเป็นโสเภณีที่ทาปากแดงเพื่อยั่วยวนผู้ชาย การทาปากสีแดงเป็นเรื่องของสังคมชั้นสูงเท่านั้นที่ทำกัน จะเห็นได้รูป พระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 1 ที่มีผิวสีขาวซีดแต่ทาปากสีแดง เมื่อหมดสมัยของพระนาง ลิปสติกก็โดนแบนจากคริสตจักร ลิปสติกสีแดงก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของหญิงชั้นต่ำ

ในปี ค.ศ. 1770 ลิปสติกเคยเป็นเรื่องราวของแม่มดหมอผี ลิปสติกเปรียบเสมือนยาเสน่ห์  รัฐสภาอังกฤษเคยผ่านกฎหมายให้ผู้ชายยกเลิกการแต่งงานได้ ถ้าเขาเชื่อว่าตัวเองถูกผู้หญิงล่อลวงให้แต่งงาน ด้วยการทาลิปสติกวงปลายๆของยุค 1800’s ซึ่งตอนนั้นภาพยนตร์ยังคงเป็นสีขาวดำ Sears Roebuck เสนอให้นักแสดงทาปากและแก้มให้เข้มขึ้นด้วยปีกแมลงเต่าทองสีแดงบดละเอียด เพื่อที่จะทำให้สีปากตามธรรมชาตินั้นดูโดดเด่นขึ้นบนแผ่นฟิล์มสีขาวดำในปี ค.ศ. 1884 บริษัทเครื่องสำอางที่ชื่อ Guerlain ก็ทำลิปสติกแบบก้อน บรรจุในห่อกระดาษผ้าไหมที่มาพร้อมกับพู่กันสำหรับทาปากออกมา และเป็นครั้งแรกที่มันมีชื่อเรียกว่า “ลิปสติก” จนกระทั่งทศวรรษ ที่ 1915 Maurice levy ได้ทำที่บรรจุลิปสติกแบบโลหะแท่งแรกขึ้นมา ทำให้มีความสะดวกสบายขึ้นในการทาริมฝีปาก ในปีเดียวกันบริษัทชื่อดัง Chanel, Guerlain, Estee Lauder และ Elizabeth Arden ก็เริ่มผลิตลิปสติกออกสู่ตลาด

ในปี 1920 ที่สหรัฐอเมริกาเกือบมีการออกกฎหมายให้ลิปสติก เป็นสิ่งต้องห้ามเนื่องจากกลัวว่าจะมีการวางยาพิษในลิปสติกขณะกำลังจุมพิตกัน และระหว่างปี ค.ศ. 1929-1933 เกิดปรากฏการณ์ “Lipstick Effect” ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสหรัฐอเมริกา มีสินค้าอยู่ตัวเดียวที่ยอดขายเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นก็คือ ลิปสติกในยุค 1940’s ความนิยมลิปสติกเริ่มแพร่กระจายออก เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่คลั่งไคล้ลิปสติกสีแดง และหลายๆคนยังคงจำคำคมของเธอพูดไว้เกี่ยวกับลิปสติกว่า “Pour yourself a drink, put on some lipstick, and pull yourself together.”กลุ่มลูกค้าเป้าหมายในการขายลิปสติกของบริษัทเครื่องสำอางชื่อดังอย่าง  Maybelline  และ Revlon คือเด็กผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป

ในยุค 1950’s ผลจากกระแสนิยมจากฮอลลีวู้ด ลิปสติกสีแดงเป็นตัวแทนแห่งความเซ็กซี่ มาริลีน มอนโรว์,  ริต้า เฮย์เวิร์ด และเอวา การ์ดเนอร์ ซูเปอร์สตาร์แถวหน้าล้วนแต่ทาปากสีแดงเข้ม นับตั้งแต่นั้นมา 98% ของผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาเริ่มหันมาทาลิปสติกกันปี 1960 และ 1970 เริ่มมีการผลิตลิปสิกสีอื่นๆออกมา สีแดงจึงเป็นแค่อีกหนึ่งตัวเลือกหนึ่งเท่านั้น  และในปี 1980 และ 1990 ลิปสติกสีแดงกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เมื่อบริษัทผลิตเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่อย่าง Mac เปิดตัวลิปสติกตัวแรกออกมา แน่นอนมันเป็นสีแดง โดยมีร็อคเกอร์สาวมาดอนน่าทาลิปสติกตัวนี้ขึ้นเวิลด์ทัวร์ คอนเสิร์ต ในปี 1987 และลิปสติกสีแดงของแมคตัวนี้ก็ได้รับความนิยมจนขึ้นแท่นเป็นลิปสติกที่ขายดีแบบสุดๆ และยังคงได้รับความนิยมแม้เวลาจะผ่านไปนาน 20 กว่าปี

 

บทความแนะนำ